8 วิธีสอนลูกให้เขาเชื่อฟัง..แบบไม่ต้องขึ้นเสียง
1 สอนด้วยการเป็นแบบ อ ย่ า ง ให้ลูกเห็น
เ ด็ ก วัย 3-6 ขวบ มักจะลอกเลียนแบบพฤติ ก ร ร ม ของคนใกล้ชิด
โดยไม่สามารถแยกแยะ ได้ควรหรือไม่ควรเลียนแบบ พ ฤ ติ ก ร ร ม อะไร
ทำให้หลายครั้ง ลูกเผลอลอกเลียน พ ฤ ติ ก ร ร ม ไม่ดีของผู้ใหญ่หรือคุณพ่อคุณแม่
เมื่อถูกตำหนิและต่อว่า ลูกจึงไม่เข้าใจว่าา ทำไมคุณพ่อ คุณแม่ยังทำได้เลย
การทำให้ลูกเกิด ความสงสัยโดยไม่ได้รับ การอธิบายบ่อยครั้ง
เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ลูกเริ่มไม่ อ ย า ก ที่จะเชื่อ ฟังพ่อแม่อีกต่อไป
สิ่งที่ควรทำ ลูกเรียนรู้จาก การกระทำได้ดีกว่าคำพูด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็น
ตัว อ ย่ า ง ให้ลูกเห็นมากกว่า การออกคำสั่งว่าลูกควรทำอะไร หรือห้ามว่าไม่ควรทำอะไร
2 สอนด้วยคำพูด น้ำเสียง และสายตาแห่งความรัก
เมื่อไรก็ตามที่ลูกทำผิด หรือไม่ทำตามสิ่งที่ คุณพ่อคุณแม่บอก
คุณอาจจะอดไม่ได้ ที่จะตะคอกลูกด้วยคำพูดแรงๆ และไม่สนใจฟังในสิ่งที่
ลูก อ ย า ก อธิบาย การขึ้นเสียงหรือ ตะคอกอาจทำให้ลูกสงบลง
ได้ก็จริง แต่ในอนาคตลูก ก็จะทำผิดซ้ำอีกอยู่ดี
สิ่งที่ควรทำ เริ่มจากดึง ความสนใจของลูกด้วยการ เรียกชื่อลูก ใช้คำพูดง่ายๆ
เพื่อให้ลูกทบทวนในสิ่งที่ทำผิด และใช้น้ำเสียงที่หนักแน่น แต่ไม่ดุดัน เช่น ถ้าลูกกำลัง
กินขนมอยู่ และมีเศษขนมตกพื้น แทนที่พ่อแม่จะดุที่ลูก ทำขนมหกหล่นลงพื้น
ลองเปลี่ยนเป็นบอก ทางป้องกันและแก้ปัญหา เช่น ขนมที่หกลงพื้นแล้ว
ลูกต้องเก็บไปทิ้งลงใน ถังขยะให้เรียบร้อยนะครับ และคุณแม่คิดว่า
ลูกควรเอาจานมารอง เพื่อขนมจะได้ไม่หกลงพื้นต่อไป นอกจากคำพูด
กับน้ำเสียงแล้ว ภาษากายก็มีส่วนสำคัญ ในการช่วยให้ลูกรับฟังมากขึ้น
คุณพ่อคุณแม่ควร ย่อตัวให้สูงเท่าลูก มองลูกด้วยสายตาแห่งรัก และตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูด
3 สอนด้วยการมีข้อตกลงร่วมกัน
เ ด็ ก ทุกคนมีสิ่งที่ชอบ และไม่ชอบของตัวเอง บ่อยครั้งที่
คุณพ่อคุณแม่ ให้ลูกทำสิ่งที่ไม่ชอบ นานจนลูกต่อต้าน
สิ่งที่ควรทำ เ ด็ ก วัย 2-3 ขวบ เป็นวัยแห่งการต่อต้าน การให้ข้อเสนอเพื่อเป็น
ข้อตกลงร่วมกัน ลดการโต้เถียงหรือการชวนทะเลาะลงได้ เช่น ถ้าลูกช่วยแม่เก็บเสื้อผ้า
แม่จะเล่านิทานให้ฟัง หรือให้ทางเลือกอื่น ที่ไม่ใช่การลงโทษ
เช่น ถ้าไม่ทำแม่จะตี เป็น ถ้าช่วยแม่ พ่อกลับมาเราจะ ได้กินข้าวกันเร็วขึ้น
4 สอนให้ลูกใช้ความคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
ประโยคคำสั่ง อ ย่ า ไม่ ห้าม ทำให้ลูกรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่ดี
โดนห้ามตลอด ส่งผลต่อให้ลูกขาด ความเชื่อมั่นในตัวเอง
กลายเป็นคนไม่มั่นใจ กลัวผิด และไม่กล้าที่จะคิดริเริ่มอะไรใหม่ๆ
สิ่งที่ควรทำ ฝึกให้ลูกใช้ความคิด และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ยกตัว อ ย่ า ง เช่น
ไปเก็บของเล่นสิลูก เป็น ไหนลูกลองคิดสิว่า จะเอาตุ๊กตาตัวนี้ไปเก็บไว้ไหน
รถของเล่นนี้ล่ะเอาไปไว้ไหนดี นอกจากนี้ควรหา กิ จ ก ร ร ม สนุกๆ ทำร่วมกันกับลูก
เมื่อคุณพ่อคุณแม่ เห็นลูกทำไม่ถูกต้อง จะได้สอนลูกให้คิดแก้ปัญหา
และสอดแทร กเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมเข้าไปได้ด้วย
5 ฟังสิ่งที่ลูกต้องการจะบอก
บางครั้งสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ คิดก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เพราะ เ ด็ ก แต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง
สิ่งที่ควรทำ ถามให้รู้ว่าลูกคิดอะไร ทำไปเพราะอะไร มีอะไรอยู่ในใจ
และตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูด เพื่อช่วยให้ลูกผ่อนคลายความกังวล และค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของลูกให้ถูกต้อง
6 ไม่ใช้อารมณ์หรือเพิกเฉยความต้องการของลูก
เ ด็ ก วัย 2-3 ขวบ ยังไม่สามารถฟัง และทำตามคำสั่งหลาย อ ย่ า ง
ในเวลาเดียวกันได้ จนทำให้พ่อแม่ใช้อารมณ์ กับลูกหรือไม่สนใจลูกเลย
สิ่งที่ควรทำ คอยจับสังเกตว่า ลูกต้องการสื่อ ส า ร อะไร อาจใช้วิธีถามซ้ำๆ
เพื่อยืนยันในสิ่งที่ลูกทำ รวมถึงเมื่อต้องการ ให้ลูกทำอะไร พ่อแม่
ควรพูด กับลูกให้ชัดเจน สั้น และกระชับใจความ
7 สอนด้วยการใช้เทคนิคที่เข้าใจง่าย
เ ด็ ก อาจจะยังฟังประโยค ย า ว ๆ หรือหลาย คำสั่งพร้อมกันไม่เข้าใจ
สิ่งที่ควรทำ ใช้เทคนิคสอนให้ลูกจำง่ายขึ้น ยกตัว อ ย่ า ง เช่น มีมือเอาไว้ช่วยเหลือ
ไม่ใช่เพื่อเอาไว้ตี หรือ พูดให้ตื่นเต้นเร้าใจ เช่น วันนี้ทำอะไรที่โรงเรียนบ้าง เปลี่ยนเป็น
เล่าให้ฟังหน่อยวันนี้ ทำอะไรสนุกสุด และหลีกเลี่ยงคำว่า ไม่หรือ ห้าม
เพราะทำให้ลูกไม่ อ ย า ก ทำตาม เช่น ห้ามดื้อ เปลี่ยนเป็น แม่ชอบลูก
ตอนที่เชื่อฟังแม่ที่สุดเลย นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ อาจเปลี่ยนมาใช้
การให้คะแนน หรือสติ๊กเกอร์ เพื่อให้ลูกมีเป้าหมาย ในการเชื่อฟังคุณมากขึ้น
8 หาสาเหตุของการไม่เชื่อฟัง
ถ้าลูกเป็น เ ด็ ก เชื่อฟัง คุณพ่อคุณแม่มาตลอด แต่บางครั้งที่ไม่เชื่อฟังอาจ
เป็นเพราะกำลังโกรธ เศร้าเสียใจ หรือต้องการให้พ่อแม่ เอาใจมากขึ้น
เช่น มีน้องเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้าน ถูกกลั่นแกล้งหรือล้อเลียน ตอนอยู่ที่โรงเรียน
สิ่งที่ควรทำ พูดคุยและหาคำตอบสาเหตุที่ลูกไม่เชื่อฟัง และบอกรักลูก
ให้ลูกเชื่อมั่นว่ามีพ่อแม่อยู่ข้างๆ เสมอ นอกจากนี้ควรสังเกตทัศนคติ วิธีคิด
และการพูดของลูก เพื่อที่จะเข้าใจลูกมากขึ้น
ขอขอบคุณที่มา aboutmom, staylifeth