คน 5 ประเภท จะหางานทำยาก ในอนาคตที่กำลังจะมาถึง
1 คนที่ไม่รู้จักวิธีการ ลง ทุน
หลายๆคนได้ถูกสอนมาว่า ให้รู้จักประหยัดและรู้จักอดออม เพื่อที่จะมีใช้ในวันข้างหน้า แต่ไม่ค่อยได้สอน
ให้รู้จักวิธีการหาเงิน หารายได้ที่มากขึ้น หากเราได้ใช้เวลา 1 ปีเพื่อที่จะมีเงินเก็บ 1 แสน
เท่ากับว่าในระยะเวลา 10 ปีจะมีเงินเก็บ 1 ล้าน แต่แบบนั้นไม่ได้ คุณเป็นคนเก่งเพราะว่าจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปี
เพื่อที่จะมีเงินเก็บ 1 ล้านบาท ในขณะที่คนบางคนหาเงิน 1 ล้านได้ใน 1 ปี เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งสำคัญ
ที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง นั่นไม่ใช่การอดออมเพียง อ ย่ า ง เดียว แต่เป็นวิธีการในการลงทุน กับตัวเองให้ถูกทาง
และถูกวิธีคนบางคนจ่ายเงินเพื่อออกเดินทาง เที่ยวรอบโลกเพื่อที่จะได้ไปเห็นโลกที่กว้างมากยิ่งขึ้น ได้เห็นธุรกิจใหม่ๆ
ที่ไม่เคยพบเจอ แล้วก็นำกลับมา ต่อยอดทำธุรกิจเป็นของตัวเอ งเงินที่คุณได้ลงทุนไปกับตัวเองนั้น มันจะทำให้คุณได้อะไรกลับมาบ้ า ง
2 คนที่ทำงานกับคนอื่นไม่เป็น
บริษัทต่างชาติแห่งห นึ่ งที่กำลัง จะรับสมัครพนักงาน และมีผู้มาสมัครงานจำนวน 6 คน ก่อนรับเข้าทำงาน
ทางบริษัทได้ให้เงิน ไปจำนวน 75 บาทแก่ผู้สมัครงานในครั้งนี้ เพื่อที่จะนำไปซื้อข้าวมากินด้วยกัน
ในงบที่ให้ไป แต่เมื่อไปถึงร้านข้าว ข้าว 1 จานราคา อ ย่ า ง ต่ำก็ 15 บาทแล้วแล้ว เงินที่ให้มานั้นไม่พอซื้อข้าว
คนละจานได้แน่ๆ พวกเขาจึงกลับไปที่บริษัท ประธานรู้เรื่องกับสายหัวแล้ว พูดออกมาว่า ขอโทษด้วย
ผมรับพวกคุณเข้าทำงานไม่ได้จริงๆ เพราะพวกคุณไม่เหมาะ กับบริษัทของเรา เหตุผลที่มีก็เพราะว่า
ร้านอาหารนั้นมีโปรซื้อ 5 แถม 1 ซึ่งแต่ละคนไม่มีใครทราบ หรือได้อ่านรายละเอืยดต่างๆ มันแสดงให้เห็น
ถึงความไม่ใส่ใจ หากได้เข้ามาอยู่ในองค์กรก็คงไม่สามารถ ที่จะทำงานออกมาได้ดีได้
3 ทำงานแบบเดิมๆ ซ้ำๆ
การทำงานของหลายๆคน ชอบการทำงานในแบบซ้ำๆเดิมๆทุกวัน เพราะไม่ต้องคิดอะไรมากมาย
เช่น การทำงานแพ็คของ การจัดเรียงสินค้า งานที่อาศัยการจับวางโดยไม่ได้มีการใช้ความคิด การวิเคราะห์
หรือการตัดสินใจ เป็นการทำงานแบบหุ่นยนต์ซึ่งนั่น ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในวันนึงมนุษย์
อาจจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ เพราะหุ่นยนต์ไม่เคยหยุดงาน ไม่อู้งาน ไม่ต้องมีเวลาพักทานข้าว
หรือเรียกร้องเงินเดือน ปัญหาต่างๆก็จะลดน้อยลง ตามลงไปได้มาก
4 เรียนจบ แล้วไม่พัฒนาตนเอง
คนเรานั้นมีเวลาเฉลี่ย ในการทำงานวันละ 8 ชม. ซึ่งมีคนที่รู้จักได้ทำงานอยู่ในโกดัง หน้าที่ของเขาก็คือ
การเช็คจำนวนสินค้าในคลัง ซึ่งเป็นงานที่ง่ายๆโดยที่ไม่ต้องใช้ ความคิดหรือทักษะอะไรมาก
การทำงานในปีแรกของเขา มีของที่ส่งมาเป็นจำนวนมาก หลังจากเลิกงานเขาใช้เวลาในการศึกษา
ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเข าค้นพบว่าของบาง อ ย่ า ง เป็นที่ต้องการในตลาด อ ย่ า ง มาก และด้วยเขาทำงานอยู่
ในแว ด ว งนี้ เขาจึงได้หาแหล่งผลิต ที่ได้ให้ต้นทุนในราคาที่ถูก จากนั้นเขาก็ได้เริ่มสั่งสินค้ามาข า ย ออน ไลน์
และก็ยังคงทำงานอยู่ ในโกดังเหมือนเดิม ผ่ า นไประยะเวลา 3 ปีธุรกิจ ออนไลน์ของเขาเติบโต อ ย่ า ง รวดเร็ว
ในเวลา 7 ปี เขาก็สามารถที่จะเปิด กิจการเป็นของตนเองได้ การทำงานนอกเหนือเวลา 8 ชม. ของเขา
เขายังมีการเรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่แตกต่างกับคนอื่นๆ เขาไม่เคยที่จะหยุดเรียนรู้ จึงทำให้เขามีธุรกิจ
เป็นของตัวเองทำให้เขาเติบโต และสามารถที่จะไปไกลกว่าคนอื่นๆ ซึ่งจะมีความต่างจากคน
ที่ไม่คิดจะพัฒนาตนเอง อยู่กับที่ ทำงานเดิมๆไม่ได้ใช้ความคิด หรือไม่ได้ใช้ทักษะอะไรมากมาย
ซึ่งคนเหล่านี้แน่นอนว่า อนาคตข้างหน้าอาจจะถูกแทนที่ ด้วยการใช้หุ่นยนต์
5 คิดระยะสั้น ไม่มองระยะ ย า ว
นาย A และ นาย B ได้เข้าไปฝึกงานที่บริษัทแห่งห นึ่ งและเมื่อมีการเรียนจบ ก็ได้ทำงานในบริษัทนั้น
ที่ตนฝึกงาน แต่ทางด้านของบริษัทได้เสนอ ให้ทั้งสองคนไปศึกษาดูงาน ที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลา 2 ปี
โดยได้เงินเดือนเพียงครึ่งเดียว และไม่มีค่าคอมมิชชั่นให้ นาย A รู้สึกว่าได้เงินน้อยเกินไป และยังใช้ชีวิตลำบาก
ไม่มีเพื่อน จึงตัดสินใจที่จะไม่ไป ในขณะที่ นาย B ตัดสินใจไปศึกษางานที่ต่างประเทศ เพราะคิดว่า
เป็นการหาประสบการณ์ใหม่ๆ เมื่อระยะเวลาผ่ า นไปเป็นเวลา 2 ปี นาย A ยังคงทำงานที่ตำแหน่งเดิม
เงินเดือนขยับขึ้นมานิดหน่อย ในขณะที่นาย B ได้กลับมาทำงานในตำแหน่ง หัวหน้าคนใหม่ของบริษัท
และมีรายได้หลักแสน ต่อเดือนในเรื่องนี้ไม่ใช่ว่านาย A ตัดสินใจผิดหรือนาย Bตัดสินใจถูก
แต่เป็นการตัดสินใจของทั้งคู่ ต่างเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง และมีมุมมองความคิดเป็นของตนเอง
แต่เมื่อเวลาได้ผ่ า นไปทุก อ ย่ า ง ก็จะเป็นข้อพิสูจน์ว่า การตัดสินใจในอดีตของเรา
จะพาให้เราก้าวไปข้างหน้าไ ด้มากน้อยแค่ไหนซึ่งขึ้นอยู่ กับตัวเรานั่นเอง
ขอขอบคุณที่มา postsod